ลำดวน
ชื่อไทย ลำดวน
ชื่ออื่น ๆ หอมนวล
ชื่อสามัญ -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Melodorum fruticosum Lour.
วงศ์ ANNONACEAE
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยพบได้ทั่วไปในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกเว้นภาคใต้
การขยายพันธุ์ เมล็ด การตอนกิ่ง
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 8 - 12 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลม หรือรูปไข่หรือรูปกรวย ทรงพุ่มแน่นทึบ แตกกิ่งก้านในระยะต่ำ แผ่ขยายกว้าง เนื้อไม้แข็ง ทนต่อสภาพความแห้งแล้งและน้ำท่วมขังได้ดี เจริญเติบโตช้า
เปลือก สีน้ำตาลเข้ม เรียบ แตกเป็นร่องตื้น ๆ เล็ก ๆ ตามทางยาวของลำต้น
ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงกันข้าม ใบรูปไข่ หรือรูปแกมขอบขนาน หรือรูปรี กว้าง 2.5 - 3.5 เซนติเมตร ยาว 6 - 10 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบมนและแคบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเกลี้ยง สีเขียวเป็นมัน เส้นแขนงใบไม่ค่อยชัดเจน ก้านใบยาว 0.4 - 0.6 เซนติเมตร
ดอก สีเหลืองนวล ดอกเดี่ยว กลิ่นหอม ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงขนาดเล็ก 3 กลีบ มนเกือบกลม กลีบดอก 6 กลีบ หนามีขนนุ่ม แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอก 3 กลีบ กว้าง 0.8 – 1.2 เซนติเมตร เมื่อบานแผ่ออก ส่วนกลีบชั้นใน 3 กลีบ ขนาดเล็กกว่า จะหุบเข้าหากัน ดอกบานเต็มที่กว้าง 2.5 – 3.0 เซนติเมตร ออกดอกเกือบตลอดปี แต่จะออกมากในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์
ผล ผลสดแบบมีเนื้อออกเป็นกลุ่มๆ ละ 20 - 25 ผล ก้านผลยาว 2 - 3 เซนติเมตร รูปร่างกลมหรือรูปไข่ ปลายแหลมเป็นติ่ง กว้าง 0.8 – 1.0 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวนวล ผลแก่สีม่วงดำ รสหวานอมเปรี้ยว
เมล็ด กลมหรือรี สีน้ำตาลอมเหลือง กว้าง 0.3 - 0.5 เซนติเมตร ในหนึ่งผลมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด
ประโยชน์ เนื้อไม้แข็งทนทาน นำมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ดอกแก้ไข้ แก้ลม วิงเวียน บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ผลรับประทานได้
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน
ชื่ออื่น ๆ หอมนวล
ชื่อสามัญ -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Melodorum fruticosum Lour.
วงศ์ ANNONACEAE
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยพบได้ทั่วไปในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกเว้นภาคใต้
การขยายพันธุ์ เมล็ด การตอนกิ่ง
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 8 - 12 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลม หรือรูปไข่หรือรูปกรวย ทรงพุ่มแน่นทึบ แตกกิ่งก้านในระยะต่ำ แผ่ขยายกว้าง เนื้อไม้แข็ง ทนต่อสภาพความแห้งแล้งและน้ำท่วมขังได้ดี เจริญเติบโตช้า
เปลือก สีน้ำตาลเข้ม เรียบ แตกเป็นร่องตื้น ๆ เล็ก ๆ ตามทางยาวของลำต้น
ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงกันข้าม ใบรูปไข่ หรือรูปแกมขอบขนาน หรือรูปรี กว้าง 2.5 - 3.5 เซนติเมตร ยาว 6 - 10 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบมนและแคบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเกลี้ยง สีเขียวเป็นมัน เส้นแขนงใบไม่ค่อยชัดเจน ก้านใบยาว 0.4 - 0.6 เซนติเมตร
ดอก สีเหลืองนวล ดอกเดี่ยว กลิ่นหอม ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงขนาดเล็ก 3 กลีบ มนเกือบกลม กลีบดอก 6 กลีบ หนามีขนนุ่ม แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอก 3 กลีบ กว้าง 0.8 – 1.2 เซนติเมตร เมื่อบานแผ่ออก ส่วนกลีบชั้นใน 3 กลีบ ขนาดเล็กกว่า จะหุบเข้าหากัน ดอกบานเต็มที่กว้าง 2.5 – 3.0 เซนติเมตร ออกดอกเกือบตลอดปี แต่จะออกมากในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์
ผล ผลสดแบบมีเนื้อออกเป็นกลุ่มๆ ละ 20 - 25 ผล ก้านผลยาว 2 - 3 เซนติเมตร รูปร่างกลมหรือรูปไข่ ปลายแหลมเป็นติ่ง กว้าง 0.8 – 1.0 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวนวล ผลแก่สีม่วงดำ รสหวานอมเปรี้ยว
เมล็ด กลมหรือรี สีน้ำตาลอมเหลือง กว้าง 0.3 - 0.5 เซนติเมตร ในหนึ่งผลมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด
ประโยชน์ เนื้อไม้แข็งทนทาน นำมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ดอกแก้ไข้ แก้ลม วิงเวียน บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ผลรับประทานได้
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน