ชื่อไทย ทองกวาว
ชื่ออื่น ๆ ก๋าว จอมทอง จ้า จอม ทองธรรมชาติ ทองต้น จาน กวาว
ชื่อสามัญ Flame of the Forest, Bastard Teak
ชื่อวิทยาศาสตร์ Butea monosperma (Lam.) Taub.
วงศ์ LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ประเทศไทยพบได้ทั่วไปในบริเวณพื้นที่ราบลุ่ม ป่าไม้ผลัดใบ ป่าละเมาะ และทุ่งนาที่แห้งแล้ง พบมากทางภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และกระจัดกระจายตามภาคต่าง ๆ ยกเว้นภาคใต้
การขยายพันธุ์ เมล็ด
ลักษณะทั่วไป ทองกวาวเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 8 - 20 เมตร เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ทรงพุ่มทึบปานกลาง ผลัดใบ เจริญเติบโตช้ามากเนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็ง เวลาออกดอกใบจะร่วงหมด ดอกสะพรั่งเต็มต้น เป็นไม้ที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งทนลมและสภาพดินเค็ม ถ้าปลูกในที่ชื้นหรือใกล้แหล่งน้ำจะไม่ค่อยออกดอก ปลูกจากเมล็ดจะออกดอกเมื่อมีอายุ 8 - 10 ปี โคนลำต้นมีลักษณะเป็นพูพอนเล็กน้อย ลำต้นมักจะบิดงอไม่ตั้งตรง กิ่งก้านจะแตกออกไม่เป็นระเบียบบิดโค้งและห้อยย้อยลงมา ลำต้นเมื่อมีอายุมาก ๆ มักจะเป็นโพรงกลวง
เปลือก สีเทาคล้ำแตกเป็นร่องตื้น ๆ ทั้งตามทางยาวและตามขวาง เมื่อแก่มีสีเทาคล้ำ จากนั้นจะแตกเป็นสะเก็ดหลุดลอกออก และเปลือกใหม่จะขึ้นมาแทนที่
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มี 3 ใบย่อยคล้ายใบถั่ว ออกสลับ ก้านใบ ยาว 25 - 30 เซนติเมตร โคนก้านใบบวม ใบยอดรูปไข่กลับปลายมน โคนสอบ ส่วนอีก 2 ใบ ออกตรงกันข้ามรูปไข่ค่อนข้างกว้างโคนใบเบี้ยว เส้นกลางใบนูนชัดเจน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 10 - 18 เซนติเมตร ยาว 15 - 20 เซนติเมตร
ดอก มีสีเหลืองแสดหรือสีส้ม ดอกเดี่ยว คล้ายดอกถั่ว หรือดอกทองหลาง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันมีขนสีน้ำตาลเข้ม กลีบดอก 5 กลีบ ยาว 5-7 เซนติเมตร ปลายแหลมมน โค้งบิดงอ มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ยาว 6 - 8 เซนติเมตร โค้งบิดงอเช่นเดียวกับกลีบดอก ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง จะออกดอกในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน
ผล เป็นฝักแห้ง สีน้ำตาลอมเหลือง มีขนนุ่ม รูปขอบขนาน แบนบาง สันหนา โค้งงอเล็กน้อย กว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 12 - 15 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ภายใน
เมล็ด ติดอยู่ที่ปลายฝัก รูปร่างเป็นแผ่นแบนบาง สีน้ำตาลคล้ายรูปไต กว้าง 1.0-1.2 เซนติเมตร ยาว 1.5-2.0 เซนติเมตร ฝักหนึ่งมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด
ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องเรือนและเครื่องมือการเกษตร เมื่อแห้งจะมีน้ำหนักเบาและหดตัวมาก เปลือกใช้ทำเชือกและกระดาษ ดอกใช้ย้อมผ้า ขับปัสสาวะถอนพิษไข้ เมล็ดบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำมะนาวทาแก้คันและแสบร้อน ใบตำพอกฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด รากใช้ประคบบริเวณที่เป็นตะคริวได้มีการทดลองพบว่าเปลือกมีสารฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีคุณสมบัติทางเภสัช
ในประเทศอินเดียเรียกต้นทองกวาวว่า “KAMARKAS” มีความหมายว่า กล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงและยืดหยุ่น เพราะสมัยก่อนผู้หญิงอินเดีย มักจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังและในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือหลังการคลอดบุตร จึงใช้ทองกวาวเป็นยาช่วยบำบัดและบำรุงร่างกาย และช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อให้กระชับมีรูปร่างดังเดิมหลังการคลอดบุตร นอกจากนั้นยังใช้บำรุงผิวพรรณและเพิ่มความงดงามเปล่งปลั่งของร่างกายอีกด้วย
ทองกวาวเป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีกลางแจ้งในดินทุกสภาพ โดยเฉพาะดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ทนต่อสภาพแห้งแล้ง ต้องการน้ำน้อยไม่มีปัญหาเรื่องโรคและแมลงเหมาะสำหรับปลูกประดับสถานที่
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน
ชื่ออื่น ๆ ก๋าว จอมทอง จ้า จอม ทองธรรมชาติ ทองต้น จาน กวาว
ชื่อสามัญ Flame of the Forest, Bastard Teak
ชื่อวิทยาศาสตร์ Butea monosperma (Lam.) Taub.
วงศ์ LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ประเทศไทยพบได้ทั่วไปในบริเวณพื้นที่ราบลุ่ม ป่าไม้ผลัดใบ ป่าละเมาะ และทุ่งนาที่แห้งแล้ง พบมากทางภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และกระจัดกระจายตามภาคต่าง ๆ ยกเว้นภาคใต้
การขยายพันธุ์ เมล็ด
ลักษณะทั่วไป ทองกวาวเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 8 - 20 เมตร เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ทรงพุ่มทึบปานกลาง ผลัดใบ เจริญเติบโตช้ามากเนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็ง เวลาออกดอกใบจะร่วงหมด ดอกสะพรั่งเต็มต้น เป็นไม้ที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งทนลมและสภาพดินเค็ม ถ้าปลูกในที่ชื้นหรือใกล้แหล่งน้ำจะไม่ค่อยออกดอก ปลูกจากเมล็ดจะออกดอกเมื่อมีอายุ 8 - 10 ปี โคนลำต้นมีลักษณะเป็นพูพอนเล็กน้อย ลำต้นมักจะบิดงอไม่ตั้งตรง กิ่งก้านจะแตกออกไม่เป็นระเบียบบิดโค้งและห้อยย้อยลงมา ลำต้นเมื่อมีอายุมาก ๆ มักจะเป็นโพรงกลวง
เปลือก สีเทาคล้ำแตกเป็นร่องตื้น ๆ ทั้งตามทางยาวและตามขวาง เมื่อแก่มีสีเทาคล้ำ จากนั้นจะแตกเป็นสะเก็ดหลุดลอกออก และเปลือกใหม่จะขึ้นมาแทนที่
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มี 3 ใบย่อยคล้ายใบถั่ว ออกสลับ ก้านใบ ยาว 25 - 30 เซนติเมตร โคนก้านใบบวม ใบยอดรูปไข่กลับปลายมน โคนสอบ ส่วนอีก 2 ใบ ออกตรงกันข้ามรูปไข่ค่อนข้างกว้างโคนใบเบี้ยว เส้นกลางใบนูนชัดเจน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 10 - 18 เซนติเมตร ยาว 15 - 20 เซนติเมตร
ดอก มีสีเหลืองแสดหรือสีส้ม ดอกเดี่ยว คล้ายดอกถั่ว หรือดอกทองหลาง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันมีขนสีน้ำตาลเข้ม กลีบดอก 5 กลีบ ยาว 5-7 เซนติเมตร ปลายแหลมมน โค้งบิดงอ มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ยาว 6 - 8 เซนติเมตร โค้งบิดงอเช่นเดียวกับกลีบดอก ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง จะออกดอกในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน
ผล เป็นฝักแห้ง สีน้ำตาลอมเหลือง มีขนนุ่ม รูปขอบขนาน แบนบาง สันหนา โค้งงอเล็กน้อย กว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 12 - 15 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ภายใน
เมล็ด ติดอยู่ที่ปลายฝัก รูปร่างเป็นแผ่นแบนบาง สีน้ำตาลคล้ายรูปไต กว้าง 1.0-1.2 เซนติเมตร ยาว 1.5-2.0 เซนติเมตร ฝักหนึ่งมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด
ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องเรือนและเครื่องมือการเกษตร เมื่อแห้งจะมีน้ำหนักเบาและหดตัวมาก เปลือกใช้ทำเชือกและกระดาษ ดอกใช้ย้อมผ้า ขับปัสสาวะถอนพิษไข้ เมล็ดบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำมะนาวทาแก้คันและแสบร้อน ใบตำพอกฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด รากใช้ประคบบริเวณที่เป็นตะคริวได้มีการทดลองพบว่าเปลือกมีสารฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีคุณสมบัติทางเภสัช
ในประเทศอินเดียเรียกต้นทองกวาวว่า “KAMARKAS” มีความหมายว่า กล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงและยืดหยุ่น เพราะสมัยก่อนผู้หญิงอินเดีย มักจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังและในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือหลังการคลอดบุตร จึงใช้ทองกวาวเป็นยาช่วยบำบัดและบำรุงร่างกาย และช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อให้กระชับมีรูปร่างดังเดิมหลังการคลอดบุตร นอกจากนั้นยังใช้บำรุงผิวพรรณและเพิ่มความงดงามเปล่งปลั่งของร่างกายอีกด้วย
ทองกวาวเป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีกลางแจ้งในดินทุกสภาพ โดยเฉพาะดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ทนต่อสภาพแห้งแล้ง ต้องการน้ำน้อยไม่มีปัญหาเรื่องโรคและแมลงเหมาะสำหรับปลูกประดับสถานที่
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน