ชื่อไทย จามจุรี
ชื่ออื่น ๆ ก้ามปู ฉำฉา กิมบี๊ ก้ามกุ้ง สารสา สำสา ลัง ตุ๊ดตู่ ชื่อสามัญ Rain Tree , Monkey Pot , East Indian Walnut
ชื่อวิทยาศาสตร์ Samanea saman (Jacq.)Merr.
วงศ์ LEGUMINOSAE - MIMOSOIDEAE
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิดอเมริกาเขตร้อน บราซิล นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่
การขยายพันธุ์ เมล็ด
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 15 - 20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปร่ม แผ่กิ่งก้านกว้างโค้งนูนตรงกลางและลาดลงด้านข้างคล้ายร่ม แตกกิ่งก้านในระยะต่ำ กิ่งก้านขนาดใหญ่ ทรงพุ่มทึบ อาจจะแผ่กว้างถึง 30 เมตร โคนต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย เป็นไม้โตเร็ว เนื้อไม้อ่อนมีลวดลายสวยงาม แก่นสีดำ
เปลือก สีเทาดำ หนา ขรุขระแตกเป็นสะเก็ดขนาดเล็กใหญ่ไม่เป็นระเบียบระหว่างร่องเปลือกที่แตก จะมีสีขาวขุ่นนุ่มคล้ายไม้ก๊อก เนื้อในเปลือกสีชมพู หรือน้ำตาลอ่อน
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับ ก้านใบยาว 10 - 18 เซนติเมตร โคนก้านใบบวม ก้านใบประกอบยาว 5 - 15 เซนติเมตร ออกตรงกันข้าม มีใบย่อย 4 - 6 คู่ ออกตรงกันข้าม ใบย่อยที่ปลายก้านใบจะมีขนาดใหญ่ที่สุด และลดหลั่นลงไปจนถึงใบย่อยที่โคนก้านใบจะมีขนาดเล็กที่สุด ใบย่อยรูปใข่ รูปรี หรือขอบขนาน บางใบคล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านหลังใบเรียบสีเขียวเข้ม ด้านท้องใบมีขนอ่อนๆ นุ่มปกคลุม ก้านใบและใบอ่อนมีขนนุ่มปกคลุมทั่วไป
ดอก สีชมพู ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งขึ้น ก้านช่อดอกยาว 3 - 7 เซนติเมตร มีดอกจำนวนมาก ดอกวงนอกของช่อดอกมีขนาดเล็กกว่าดอกวงใน ดอกกลางช่อจะมีขนาดใหญ่ที่สุด กลีบเลี้ยงสีเขียวแกมชมพูติดกันเป็นหลอดยาว 0.4 - 0.6 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 6 - 8 แฉก มีขนอ่อนๆปกคลุม กลีบดอกสีขาวอมชมพูโคนติดกันเป็นรูปปากแตรปลายแยกออกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้ที่มีก้านชูเกสรสีชมพูยาว 4 - 6 เซนติเมตร จำนวนมากอยู่กลางดอก ดอกบานเต็มที่กว้าง 4 - 5 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี แต่ดอกจะดกในเดือนกันยายน-กุมภาพันธ์
ผล เป็นฝักรูปขอบขนานบิดโค้งเล็กน้อย กว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 15 - 18 เซนติเมตร ฝักอ่อนสีเขียว ฝักแก่สีน้ำตาล โป่งและคอดเป็นตอนๆ ตามตำแหน่งเมล็ด ภายในฝักมีเนื้อนุ่มเหนียว และเมล็ดจำนวนมาก
เมล็ด สีน้ำตาลเข้มเปลือกแข็ง รูปไข่หรือกลมกว้าง 0.4 - 0.6 เซนติเมตร ยาว 0.8 – 1.0 เซนติเมตร ในหนึ่งฝักมีเมล็ด 15 - 20 เมล็ด
ประโยชน์ จามจุรีเป็นต้นไม้ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จากทุกๆ ส่วน เช่น ลำต้นใช้เลี้ยงครั่ง เนื้อไม้ใช้แกะสลัก ทำแผ่นไม้กระดาน ลังไม้บรรจุสินค้า (เนื้อไม้มีกำลังดัดงอสูง) ทำเครื่องเรือน ทำฟืนและถ่าน ฝักใช้เป็นอาหารสัตว์ ใบแก่ที่ร่วงหล่นนำไปหมักให้ผุเปื่อย แล้วนำมาผสมกับดินใช้ปลูกต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีมาก ใบสดใช้แก้ปวดแสบปวดร้อน เมล็ดแก้โรคผิวหนัง รากจามจุรีมีจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถเพิ่มแร่ธาตุอาหารประเภทธาตุไนโตรเจนให้แก่ดินได้ ทั้งต้นของจามจุรีมีสารแอลคาลอยด์ ชื่อ พิชทิโคโลไบด์ ที่มีพิษเป็นยาสลบ
เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาแผ่กว้างได้ดีมาก เหมาะที่จะปลูกประดับไว้ในพื้นที่กว้างๆ เช่น สนามโรงเรียน วัด สวนสาธารณะหรือริมถนนทางเดิน จามจุรีมีศัตรูพืชที่สำคัญคือหนอนเจาะลำต้น ถ้าเข้าทำลายมากๆ จะทำให้ลำต้นเป็นรูและผุพังตายในที่สุด
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน
ชื่ออื่น ๆ ก้ามปู ฉำฉา กิมบี๊ ก้ามกุ้ง สารสา สำสา ลัง ตุ๊ดตู่ ชื่อสามัญ Rain Tree , Monkey Pot , East Indian Walnut
ชื่อวิทยาศาสตร์ Samanea saman (Jacq.)Merr.
วงศ์ LEGUMINOSAE - MIMOSOIDEAE
นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิดอเมริกาเขตร้อน บราซิล นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่
การขยายพันธุ์ เมล็ด
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 15 - 20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปร่ม แผ่กิ่งก้านกว้างโค้งนูนตรงกลางและลาดลงด้านข้างคล้ายร่ม แตกกิ่งก้านในระยะต่ำ กิ่งก้านขนาดใหญ่ ทรงพุ่มทึบ อาจจะแผ่กว้างถึง 30 เมตร โคนต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย เป็นไม้โตเร็ว เนื้อไม้อ่อนมีลวดลายสวยงาม แก่นสีดำ
เปลือก สีเทาดำ หนา ขรุขระแตกเป็นสะเก็ดขนาดเล็กใหญ่ไม่เป็นระเบียบระหว่างร่องเปลือกที่แตก จะมีสีขาวขุ่นนุ่มคล้ายไม้ก๊อก เนื้อในเปลือกสีชมพู หรือน้ำตาลอ่อน
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับ ก้านใบยาว 10 - 18 เซนติเมตร โคนก้านใบบวม ก้านใบประกอบยาว 5 - 15 เซนติเมตร ออกตรงกันข้าม มีใบย่อย 4 - 6 คู่ ออกตรงกันข้าม ใบย่อยที่ปลายก้านใบจะมีขนาดใหญ่ที่สุด และลดหลั่นลงไปจนถึงใบย่อยที่โคนก้านใบจะมีขนาดเล็กที่สุด ใบย่อยรูปใข่ รูปรี หรือขอบขนาน บางใบคล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านหลังใบเรียบสีเขียวเข้ม ด้านท้องใบมีขนอ่อนๆ นุ่มปกคลุม ก้านใบและใบอ่อนมีขนนุ่มปกคลุมทั่วไป
ดอก สีชมพู ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งขึ้น ก้านช่อดอกยาว 3 - 7 เซนติเมตร มีดอกจำนวนมาก ดอกวงนอกของช่อดอกมีขนาดเล็กกว่าดอกวงใน ดอกกลางช่อจะมีขนาดใหญ่ที่สุด กลีบเลี้ยงสีเขียวแกมชมพูติดกันเป็นหลอดยาว 0.4 - 0.6 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 6 - 8 แฉก มีขนอ่อนๆปกคลุม กลีบดอกสีขาวอมชมพูโคนติดกันเป็นรูปปากแตรปลายแยกออกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้ที่มีก้านชูเกสรสีชมพูยาว 4 - 6 เซนติเมตร จำนวนมากอยู่กลางดอก ดอกบานเต็มที่กว้าง 4 - 5 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี แต่ดอกจะดกในเดือนกันยายน-กุมภาพันธ์
ผล เป็นฝักรูปขอบขนานบิดโค้งเล็กน้อย กว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 15 - 18 เซนติเมตร ฝักอ่อนสีเขียว ฝักแก่สีน้ำตาล โป่งและคอดเป็นตอนๆ ตามตำแหน่งเมล็ด ภายในฝักมีเนื้อนุ่มเหนียว และเมล็ดจำนวนมาก
เมล็ด สีน้ำตาลเข้มเปลือกแข็ง รูปไข่หรือกลมกว้าง 0.4 - 0.6 เซนติเมตร ยาว 0.8 – 1.0 เซนติเมตร ในหนึ่งฝักมีเมล็ด 15 - 20 เมล็ด
ประโยชน์ จามจุรีเป็นต้นไม้ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จากทุกๆ ส่วน เช่น ลำต้นใช้เลี้ยงครั่ง เนื้อไม้ใช้แกะสลัก ทำแผ่นไม้กระดาน ลังไม้บรรจุสินค้า (เนื้อไม้มีกำลังดัดงอสูง) ทำเครื่องเรือน ทำฟืนและถ่าน ฝักใช้เป็นอาหารสัตว์ ใบแก่ที่ร่วงหล่นนำไปหมักให้ผุเปื่อย แล้วนำมาผสมกับดินใช้ปลูกต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีมาก ใบสดใช้แก้ปวดแสบปวดร้อน เมล็ดแก้โรคผิวหนัง รากจามจุรีมีจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถเพิ่มแร่ธาตุอาหารประเภทธาตุไนโตรเจนให้แก่ดินได้ ทั้งต้นของจามจุรีมีสารแอลคาลอยด์ ชื่อ พิชทิโคโลไบด์ ที่มีพิษเป็นยาสลบ
เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาแผ่กว้างได้ดีมาก เหมาะที่จะปลูกประดับไว้ในพื้นที่กว้างๆ เช่น สนามโรงเรียน วัด สวนสาธารณะหรือริมถนนทางเดิน จามจุรีมีศัตรูพืชที่สำคัญคือหนอนเจาะลำต้น ถ้าเข้าทำลายมากๆ จะทำให้ลำต้นเป็นรูและผุพังตายในที่สุด
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน