ชื่อไทย จันทน์กระพ้อ
ชื่ออื่น ๆ จันทน์กะพ้อ เขี้ยวงูเขา จันทน์พ้อ จันพอ
ชื่อสามัญ Resak
ชื่อวิทยาศาสตร์ Vatica diospyroides Symington
วงศ์ DIPTEROCARPACEAE
นิเวศวิทยา พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ของไทย
การขยายพันธุ์ เมล็ด
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5 - 15 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมรูปไข่หรือแผ่กว้าง ทรงพุ่มค่อนข้างทึบ ลำต้นตรง แตกกิ่งต่ำ กิ่งอ่อนและใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง ดอกมีกลิ่นหอมแรง เจริญเติบโตช้า เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจัดและแห้งแล้ง
เปลือก เปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ และแตกสะเก็ดสีน้ำตาลอมเทา หรือสีเทาคล้ำ
ใบ ใบเดี่ยว ออกเวียนเรียงสลับ รูปใบหอก หรือรูปขอบขนาน กว้าง 5 - 8 เซนติเมตร ยาว 15 - 30 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเป็นคลื่นสีเขียวเข้มค่อนข้างหนา ก้านใบคดงอ ยาว 1.5 – 2.0 เซนติเมตร
ดอก สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองนวล ขนาดเล็ก กลิ่นหอมแรง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบบริเวณกิ่งและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ เวียนเรียงกันเป็นรูปกังหัน กว้าง 0.3 - 0.4 เซนติเมตร ยาว 1 - 2 เซนติเมตร ดอกบานเต็มที่กว้าง 2.0 - 2.5 เซนติเมตร ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
ผล ผลแห้งรูปทรงกลมปลายเรียวแหลมคล้ายรูปสามเหลี่ยม มีขนสีน้ำตาลปกคลุม เปลือกแข็ง ผลแก่แตกอ้าออกเป็น 3 เสี่ยง ภายในผลมี 1 เมล็ด
เมล็ด รูปทรงคล้าย ๆ ผล ทรงกลมปลายแหลม ขนาดเล็ก เปลือกแข็ง
ประโยชน์ เนื้อไม้แก้ลมวิงเวียน ขับลม ขับเสมหะ ดอกมีกลิ่นหอมแรง คนโบราณนิยมนำดอกไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า เพื่ออบให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม
บริเวณที่ปลูก สวนมิตรสัมพันธ์
จันทน์กระพ้อ เป็นต้นไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจ้า และพื้นที่แห้งแล้ง ดังนั้นควรเลือกปลูกในบริเวณพื้นที่ที่มีร่มเงา และพื้นที่ค่อนข้างชื้นอยู่ตลอดเวลา
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน
ชื่ออื่น ๆ จันทน์กะพ้อ เขี้ยวงูเขา จันทน์พ้อ จันพอ
ชื่อสามัญ Resak
ชื่อวิทยาศาสตร์ Vatica diospyroides Symington
วงศ์ DIPTEROCARPACEAE
นิเวศวิทยา พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ของไทย
การขยายพันธุ์ เมล็ด
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5 - 15 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมรูปไข่หรือแผ่กว้าง ทรงพุ่มค่อนข้างทึบ ลำต้นตรง แตกกิ่งต่ำ กิ่งอ่อนและใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง ดอกมีกลิ่นหอมแรง เจริญเติบโตช้า เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจัดและแห้งแล้ง
เปลือก เปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ และแตกสะเก็ดสีน้ำตาลอมเทา หรือสีเทาคล้ำ
ใบ ใบเดี่ยว ออกเวียนเรียงสลับ รูปใบหอก หรือรูปขอบขนาน กว้าง 5 - 8 เซนติเมตร ยาว 15 - 30 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเป็นคลื่นสีเขียวเข้มค่อนข้างหนา ก้านใบคดงอ ยาว 1.5 – 2.0 เซนติเมตร
ดอก สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองนวล ขนาดเล็ก กลิ่นหอมแรง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบบริเวณกิ่งและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ เวียนเรียงกันเป็นรูปกังหัน กว้าง 0.3 - 0.4 เซนติเมตร ยาว 1 - 2 เซนติเมตร ดอกบานเต็มที่กว้าง 2.0 - 2.5 เซนติเมตร ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
ผล ผลแห้งรูปทรงกลมปลายเรียวแหลมคล้ายรูปสามเหลี่ยม มีขนสีน้ำตาลปกคลุม เปลือกแข็ง ผลแก่แตกอ้าออกเป็น 3 เสี่ยง ภายในผลมี 1 เมล็ด
เมล็ด รูปทรงคล้าย ๆ ผล ทรงกลมปลายแหลม ขนาดเล็ก เปลือกแข็ง
ประโยชน์ เนื้อไม้แก้ลมวิงเวียน ขับลม ขับเสมหะ ดอกมีกลิ่นหอมแรง คนโบราณนิยมนำดอกไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า เพื่ออบให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม
บริเวณที่ปลูก สวนมิตรสัมพันธ์
จันทน์กระพ้อ เป็นต้นไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจ้า และพื้นที่แห้งแล้ง ดังนั้นควรเลือกปลูกในบริเวณพื้นที่ที่มีร่มเงา และพื้นที่ค่อนข้างชื้นอยู่ตลอดเวลา
รวบรวมเรียบเรียงและถ่ายภาพโดย รองศาสตราจารย์ ชนะ วันหนุน